เพิ่ง
ออกอากาศไปได้ไม่กี่ตอน แต่ความแซ่บครบรสของละคร “ทะเลไฟ” ทางช่อง 7
ก็กระชากเรตติ้งสูงปรี๊ด ส่งให้ชื่อของนางเอกสาวลูกครึ่ง ไทย-ออสเตรีย
เซฟ-เซฟฟานี่ อาวะนิค กลายเป็นนางเอกที่ร้อนแรงไปอีกคน
เพิ่ง
ออกอากาศไปได้ไม่กี่ตอน แต่ความแซ่บครบรสของละคร “ทะเลไฟ” ทางช่อง 7
ก็กระชากเรตติ้งสูงปรี๊ด ส่งให้ชื่อของนางเอกสาวลูกครึ่ง ไทย-ออสเตรีย
เซฟ-เซฟฟานี่ อาวะนิค กลายเป็นนางเอกที่ร้อนแรงไปอีกคน
เพราะต้องเชือดเฉือนบทชนิดตาต่อตาฟันต่อฟัน วันนี้ “ดาวต่างมุม”
มีนัดกับเธอ พูดคุยสารพัดเรื่อง ทั้งการทำงาน การเรียนในคณะวิทยาศาสตร์
สาขาชีวการแพทย์ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล
รวมถึงเรื่องของหัวใจที่มีรักทางไกลแต่ไม่เป็นอุปสรรค
บรรยากาศตอนถ่ายทำ “ทะเลไฟ” เป็นยังไงบ้าง?
“ฟัง จากชื่อ “ทะเลไฟ” ต้องมีทะเลแน่นอนค่ะ มีถ่ายที่ต่างประเทศช่วงต้นเรื่องด้วย ซึ่งไปถ่ายพร้อมกับเรื่อง “ไฟรักเกมร้อน” ยากเหมือนกันนะคะ เพราะมันถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่ พอกลับมาเมืองไทยก็ถ่ายกันต่อได้หลายที่เป็นทะเลหมดเลย ร้อนมาก แต่ทุกคนก็สู้เต็มที่ค่ะ พอเราเห็นภาพในจอมันสวยมากเลย บทบาทในเรื่องนี้ก็แรงไปอีกแบบ เรื่องมันต่อมาจาก “ไฟรักเกมร้อน” ผู้ชมจะเห็นว่าตัวละครพั้นช์เป็นคนที่อารมณ์ร้อน เอาแต่ใจ และไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่นเลย ทะเลไฟมันต่อเนื่องกันมา มันยังมีความสู้คนอยู่ แต่จะไม่ใช้อารมณ์ที่แรงขนาดนั้นแล้ว จะใช้คำพูดฉลาด ๆ ไปว่าคนอื่นมากกว่า ไม่กรี๊ดกร๊าดโวยวายเสียงดังแล้ว ถือว่ายากขึ้นนะคะ เพราะเราต้องคงคาแรกเตอร์ตัวเดิมไว้แต่ปรับให้โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เรื่องนี้ต้องปะทะกับแม่ของพระเอกเยอะมาก เราจะถูกกระทำเยอะมาก”
ฉากเลิฟซีนก็ร้อนแรงไม่แพ้ “ไฟรักเกมร้อน” นะ?
“จะ แตกต่างนิดนึงค่ะ ตรงที่พศิกาหรือพั้นช์จะไม่ยอมเตชิน แต่จะโดนบังคับมากกว่า ช่วงแรกตอนเจอกันที่สเปน ทั้งคู่แอบชอบกันนะ แต่พศิกาเคยผิดหวังในความรักมาก่อน เลยเข็ดกับความรักและยังไม่ยอมเปิดใจในรักครั้งใหม่ พอกลับมาเจอเตชินที่เมืองไทย ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป เพราะแม่เขาคิดว่าเราเป็นเมียน้อยของพ่อเขา เขาเลยเกลียดเรา พยายามทำร้ายความรู้สึกของเรา มาบังคับ มาจูบเรา เรื่องนี้ตบจูบเยอะเลยค่ะ โยนเราลงน้ำก็มีอย่างที่เห็นในภาพตัวอย่าง โหดร้ายมากค่ะ บทเลิฟซีนตอนอ่านบทก็โอเคนะคะ เพราะมีแค่นิดเดียว แต่ทำไมตอนถ่าย เอ๊ะ อีกแล้วเหรอเนี่ย (หัวเราะ) แต่มันก็เป็นสไตล์ไทย ๆ แค่จูบแตะนิดหน่อยค่ะ ซึ่งเราก็เคยเล่นในเรื่องอื่นมาก่อนแล้ว ก็โอเค แต่เรื่องนี้อารมณ์ของพระเอกจะไม่เหมือนเรื่องอื่น เรื่องอื่นเรายอมที่จะจูบเพราะเรารักกันจริง ๆ แต่เรื่องนี้เราเกลียดเขามาก มันเป็นอีกความรู้สึกหนึ่ง ด้วยความที่เราทั้งคู่สนิทกันแล้ว ก็เลยไม่เกร็ง แล้วมันก็ไม่ใช่สไตล์ฝรั่งที่จะสมจริงยิ่งกว่านี้ 10 เท่า แบบนั้นเราคงเล่นไม่ได้แน่ แต่แบบนี้เราเห็นในละครเกือบทุกเรื่องอยู่แล้วค่ะ เรื่องนี้ถือว่าบทหนักมากค่ะ”
มีพัฒนาการจะต้องได้รับบทที่แรงขึ้นเรื่อย ๆ?
“อาจ จะมั้งคะ ในช่วงแรกการแสดงของเรายังไม่เก่งเท่าไร ก็เลยยังได้รับบทที่ไม่ค่อยท้าทาย แต่ท้าทายสำหรับเราตอนนั้นนะคะ พอเรามีพัฒนาการด้านการแสดงมากขึ้น บทก็ยากและท้าทายขึ้นเรื่อย ๆ ให้เราได้โชว์อะไรใหม่ ๆ มันดีสำหรับนักแสดง เพราะจะได้เรียนรู้วิธีการแสดงหลาย ๆ แบบค่ะ เซฟคิดว่าทุกงานมันมีการพัฒนาไปเรื่อย ๆ ได้ มันไม่มีลิมิตของการเรียนรู้ เหมือนการเรียนเปียโน เราก็เรียนไปเรื่อย ๆ เราเพิ่มเพลงยากขึ้นมาเล่นได้”
เห็นว่าเรียนหนักด้วยจัดสรรเวลาอย่างไร?
“เหมือน เดิมตั้งแต่ปี 1 เลย เราพยายามลงทะเบียนเรียนวิชาในตอนเช้า เพราะหลังเที่ยงเราสามารถไปถ่ายละครได้ถึงสี่ทุ่มเลย แต่บางครั้งเวลาเรียนมันบังคับจริง ๆ เช่น เรียน 4 โมงถึง 6 โมง เราก็จะให้คิวละครช่วงเช้าถึงบ่าย 2 แล้วก็เผื่อเวลาขับรถไปมหาวิทยาลัยอีก 2 ชั่วโมง ก็โอเคนะคะ หลายคนคิดว่าทำไม่ได้ แต่จริง ๆ แล้วทุกอาทิตย์เราทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ก็เก็บได้หลายซีนเลย เพียงแต่เราอาจจะไม่ได้มาเช้าเหมือนคนอื่น บางเทอมเราไม่ได้ลงเรียนทุกวัน ก็จะมีวันว่างเต็มวัน 1-2 วัน ให้ทางละครเลยค่ะ”
เรียนสายวิทยาศาสตร์ มันก็น่าจะยากอยู่นะ?
“ยาก ค่ะ เซฟเรียนไบโอเมดิคอลซายน์ ภาษาไทยเรียกว่าชีวการแพทย์ เกี่ยวกับพวกเซลล์ในร่างกาย การตรวจเลือด ส่องกล้องดูพยาธิ เน้นพวกแล็บ การเพาะเชื้อ ด้านเคมีและยา บางวิชาขาดไม่ได้เลย เราขาดแล็บก็ตามเพื่อนไม่ทันแล้ว มันมีการเพาะเชื้อซึ่งถ้าเราไม่ได้เข้าไปทำ อาทิตย์ต่อมามันก็ตามเขาไม่ทันแน่ ๆ ดังนั้นเทอมที่มีวิชาที่ขาดไม่ได้ก็จะรีบแจ้งทางกองถ่ายค่ะว่าเราขาดไม่ได้ จริง ๆ นะ แต่ถ้าวันไหนรู้ล่วงหน้าว่ามีงดเรียน เราจะรีบบอกทางกองเพื่อให้เขาได้แพลนคิวถูก แต่บางอาทิตย์เราก็ว่างนะ ก็อยู่บ้านหรือนัดกับเพื่อนไปผ่อนคลายบ้าง ถ้าช่วงสอบอันนี้หนักเลยค่ะ แต่เราใช้วิธีตั้งใจเรียนในห้องเลย พยายามจำให้ได้ อันไหนที่ติดจริง ๆ ก็จดเอาไว้ก่อน แล้วค่อยไปอ่านเพิ่มเติม ขอทางกองด้วยว่าช่วงสอบขอไม่ดึกได้ไหม ซึ่งเขาก็เข้าใจเรา สอบเสร็จค่อยไปอัดต่อ เราก็จะมีเวลา 1 วันก่อนสอบแต่ละวิชา มันทำจนชินแล้วค่ะ เกรดคงไม่ดีเท่าไร แต่ถ้าสอบผ่าน เซฟก็แฮปปี้แล้วล่ะ เพราะเราไม่มีเวลาอ่านทบทวนมากเหมือนคนอื่น แต่ก็ดีขึ้นจากช่วงแรกที่เริ่มเล่นละครนะ คุณพ่อคุณแม่บอกว่าเรียนให้จบก็พอนะลูก ไม่ต้องเอาเกรดเฉลี่ย 4.00 หรอก เราไม่ได้เกิดมาเป็นเด็กอัจฉริยะ เซฟรู้ตัวเองว่าไม่ใช่เด็กฉลาด แต่เป็นเด็กขยัน วันไหนเราได้เบรกดาวน์ของละครมาว่าวันนี้จะถ่ายกี่ซีน ซึ่งถ้าวันไหนถ่ายน้อย เราจะเอางานที่เรียนไปทำที่กองด้วยค่ะ”
ทำไมเลือกเรียนด้านนี้?
“ตอน เรียน ม.5 ต้องเริ่มดู ๆ แล้วค่ะว่าจะเรียนต่อด้านไหน เราเรียนสายวิทย์ แต่ฟิสิกส์ไม่ค่อยเก่ง มันยากไป ชีววิทยาสิเป็นอะไรที่เราชอบมากกว่า มันทำให้เราเป็นหมอเฉพาะทางด้านใดด้านหนึ่งได้ เซฟอยากช่วยเหลือคน เลยเลือกเรียนด้านนี้ ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าจะได้เป็นนักแสดง เซฟได้ตำแหน่งมิสทีนไทยแลนด์ช่วงก่อนเข้ามหาวิทยาลัย แต่ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นนักแสดง พอปี 1 เราก็ได้เล่นละครเลย คือเราก็เรียนไปแล้วเทอมนึงเสียดาย ตอนนี้ก็ 4 ปีแล้วที่ได้เป็นนักแสดง คิดว่าเราทำได้ทั้ง 2 อย่างนะ มันอยู่ที่ตัวเราว่าจะจัดสรรเวลาได้ดีแค่ไหน อาจจะต้องงดกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยไปบ้าง ถ้าเราได้ทำงานมันก็เพิ่มเติมความรู้ใหม่ ๆ ให้เราเช่นกัน เลยเลือกที่จะทำงานแสดงไปด้วยค่ะ”
รู้สึกเหนื่อยบ้างหรือเปล่า?
“ตอน นี้ชินแล้วค่ะ แต่ช่วงแรกบอกเลยว่าเหนื่อยมาก ตั้งแต่ตอนขับรถ คุณแม่จะเป็นคนขับ เซฟคอยดูจีพีเอส ยังไม่ค่อยชินทางที่กรุงเทพฯ เพราะเพิ่งย้ายมาจากพัทยา คือหลงทางบ่อยมาก แล้วก็ยังไม่ชินกับการที่เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย พอหลังจากนั้นก็เริ่มชินแล้ว คุ้นเคยกับเส้นทางมากขึ้น จนทุกวันนี้ถ้าไม่ได้ทำงาน 2-3 วันติดกันมันจะรู้สึกแปลก ๆ ค่ะ ชีวิตมันคงน่าเบื่อไม่มีอะไรทำ จริง ๆ แล้วเซฟไม่ได้ต้องการอะไรมากมายในชีวิต ขอแค่มีเวลาอยู่กับเพื่อนบ้าง ไม่ต้องเจอทุกวันหรอก อาทิตย์หนึ่งเจอกันแค่ครั้งสองครั้งก็แฮปปี้แล้ว เซฟชอบออกกำลังกาย ชอบเข้าฟิตเนส มันทำให้เราระบายความเครียดได้ดี อาจจะเหนื่อยกายเพิ่ม แต่มันเป็นสีสันดีนะ จะพยายามหาเวลาเข้าฟิตเนสทุกวันเลย อย่างน้อยแค่วันละ 1 ชั่วโมง ก็ทำให้แฮปปี้มีพลังที่จะสู้ในวันต่อไปได้แล้วค่ะ”
มีเป้าหมายในวงการบันเทิงอย่างไร?
“ไม่กล้ามีเป้าหมายอะไรในวงการบันเทิงเลย เพราะว่ามันไม่แน่นอน ขึ้นลงตลอด แต่เราก็ทำไปเรื่อย ๆ ค่อย ๆ ดูไปว่ามันจะอะไรยังไง คือเราก็มีทางด้านการเรียนนี้ที่จะเป็นแบ๊กอัพของเราได้ ตอนนี้เราก็ยังเรียนไม่จบด้วย เราก็เลยไม่รู้ว่าถ้าเราเรียนจบจะมีงานอะไรให้เราทำหรือเปล่า เซฟยังไม่แน่ใจเลยว่าจะไปเรียนต่อที่ไหนยังไง เพราะจริง ๆ ก็อยากเรียนต่อปริญญาโท แต่ตอนนี้เราก็ยังมีเวลาที่จะดูมหาวิทยาลัยก่อน ดูทางบ้านด้วย ยังไม่ได้มีการตัดสินใจอะไร ตอนนี้มีละครมาก็รับไป”
ตอนที่เลือกเรียนทางด้านนี้ก็ต้องมีเป้าหมายว่าอยากไปเป็นอะไร?
“มี ค่ะ แต่ยังไม่ได้เน้นว่าจะทำงานอะไร คืออยากช่วยเหลือคน อันนี้คือเป้าหมาย เซฟชอบเกี่ยวกับเรื่องภูมิคุ้มกัน เรื่องเกี่ยวกับเอชไอวี เอดส์ คือสนใจตั้งแต่เด็ก มันเป็นโรคที่ยังไม่มียารักษาให้หายได้ แล้วรู้สึกว่าที่ประเทศเรายังไม่ได้มีการเผยแพร่เรื่องนี้เยอะ คนยังไม่ยอมรับ เซฟอยากช่วยเหลือทางด้านนี้ อาจจะเป็นการให้ความรู้เพิ่มเติมสำหรับคนที่ไม่รู้ คือมันมีหลายทางมากที่จะช่วยเหลือคนได้ เราอยากเรียนรู้เกี่ยวกับพวกเม็ดเลือดขาว ภูมิคุ้มกัน ก็จะมีวิจัยโน่นนี่ อาจจะช่วยคนที่เป็นโรคอื่นได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นโรคนี้ก็ได้ ก็เป็นหมอเฉพาะทางได้ค่ะ เราไม่ได้เป็นแพทย์แบบผ่าตัดอะไรอย่างนั้น คือเซฟเรียนสายอินเตอร์มันก็เลยไม่เหมือนกันกับเรียนแพทย์ ของเซฟจะต้องไปต่อปริญญาโทก่อน แล้วก็อาจจะมีพวกเทรนนิ่งตามโรงพยาบาล และเราก็เลือกสายอีกทีแล้วเราก็จะได้ PH.D ได้ดอกเตอร์ ก็จะพยายามไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้เหมือนกัน แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะใช้เวลากี่ปี แล้วก็ต้องใช้เงินเยอะอยู่เหมือนกัน ก็ต้องดูอีกทีว่าจะยังไง”
เรื่องหัวใจล่ะมีหนุ่ม ๆ ให้ชุ่มชื่นหัวใจบ้างเปล่า?
“มีค่ะ เราคบกันหลายปีแล้ว เขาอยู่เมืองนอก ปีหนึ่งเจอกัน 3 ครั้ง ปิดเทอมตรงกันเขาก็กลับมา เราก็จะมีเวลาเพิ่มขึ้น แต่ว่าเซฟก็ยังมีงานเหมือนเดิม วันไหนมีงานก็ไปทำงานปกติ เวลาที่เขากลับมาก็มาอยู่ประมาณ 1 เดือน หรือเต็มที่ก็ 3 อาทิตย์ เหมือนทำแบบนี้มาหลายปี มันก็เลยชิน ถ้าเขารับไม่ได้เราก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเราก็ต้องทำงานและเรียน แต่คือเขารับได้ก็เลยไม่มีปัญหาอะไร เคยบอกกับตัวเองนะว่าไม่มีทางที่จะมีแฟนหรือรักใครที่อยู่คนละประเทศ แต่ว่าความรู้สึกมันห้ามไม่ได้นะ ถ้ามันเจอใครที่โอเคกับเรา มันก็ทำให้เรารู้ว่ามันก็เวิร์กนะ แต่มันต้องช่วยกันทั้ง 2 คน สื่อสารกันทางสไกป์ โทรศัพท์ คือเทคโนโลยีมันช่วย สมัยนี้คนเล่นอินเทอร์เน็ตตลอด ตอนแรก ๆ เหมือนเขาจะไม่เข้าใจงานวงการบันเทิง เขาเรียนอินเตอร์มา ก็จะมีนิสัยเหมือนคนยุโรปมากกว่า เขาไม่มีความสนใจทางด้านงานวงการบันเทิง แต่พอมารู้จักเซฟนี่แหละ เขาก็เริ่มรู้จักวงการ รู้จักดาราคนนั้นคนนี้ เริ่มเข้าใจ และเขาก็เริ่มโตขึ้น ในอนาคตถ้าเขาต้องทำงาน เขาก็จะเรียนรู้ว่าเขาก็ไม่มีเวลาพวกนี้เหมือนกัน”
คบกันมานานเท่าไหร่แล้ว?
“5 ปีแล้วค่ะ ยังไม่คิดถึงอนาคตก็คบกันไปเรื่อย ๆ ถ้าวันไหนมันจะต้องหยุดจริง ๆ ไม่มีเวลา มันก็ต้องหยุด ไม่อยากคิดถึงตอนนั้น ตอนนี้ก็คบกันไปเป็นกำลังใจให้กันแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว เรายังไม่ได้คิดอะไรในอนาคต ยังไม่ได้โตขนาดนั้นด้วย”
สิ่งที่ทำให้เราคบกันได้นานขนาดนี้คืออะไร?
“ต้อง ไว้ใจกันแล้วก็ดีทั้งสองฝ่ายนะ ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเจ้าชู้นี่ไม่ได้ จบเลย ต้องคุยกันให้มาก ๆ ไม่มีความลับต่อกัน มีอะไรก็บอกกันตรง ๆ ว่ารู้สึกอย่างไร มันต้องทั้งสองคน ไม่ใช่ใครฝ่ายเดียว เหมือนทำงานร่วมกัน เขาก็เรียนจะจบแล้วอีกไม่กี่เดือน แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะต่ออะไรไหม เขาเรียนทางด้านบริหารธุรกิจ อีกอย่างนะถ้าเจอกันบ่อยมาก อาจจะน่าเบื่อก็ได้ คือเราเริ่มกันมาแบบนี้ตั้งแต่แรก ถ้ามันมีระยะทาง เวลาที่เราไม่ได้เจอกันนาน ๆ พอเจอกันอีกทีก็จะรู้สึกดีว่า เออ ไม่ได้เจอกันนานนะ ก็มีเพื่อนมาปรึกษาเหมือนกันว่าเธอทำได้ยังไง เราก็ให้คำปรึกษาไป แต่สุดท้ายเพื่อนก็ทำไม่ได้ อาจจะเป็นสไตล์ใครสไตล์มันมากกว่า
ถือว่าคนนี้ตรงสเปกไหม?
“ตรง นะ เขาชอบออกกำลังกาย เพราะเราก็ชอบออกกำลังกายมาก เซฟเลยชอบผู้ชายที่ออกกำลังกาย ชอบดูแลตัวเอง และเขาเป็นคนที่เนี้ยบมาก เป็นคนที่ไว้ใจได้ ไม่ใช้อารมณ์ และเซฟก็ไม่ชอบผู้ชายขี้หึง จุกจิกจู้จี้ ถามแบบตลอดว่าอยู่ไหน ต่อให้เขาอยู่ต่างประเทศแล้วมาถามบ่อย ๆ ก็ไม่ไหวนะ ต้องให้เวลาเราชิลบ้างสิ อย่างเวลาไปกับเพื่อนผู้ชาย เขาก็รู้ว่าแค่เป็นเพื่อน สบายเรา ไม่ต้องไปกังวล”
พ่อแม่เลี้ยงสไตล์ไทยหรือสไตล์ฝรั่งนี่?
“ทั้ง สองแบบเลยค่ะ คุณพ่อจะปล่อย ลูกอยากไปไหนก็ให้เขาไปก็จะบอกแม่ แต่เขาก็จะบอกว่าห้ามสูบบุหรี่ ห้ามทำอะไรที่มันไม่ดี เขาก็จะสอนหมด ไปเที่ยวหรืออะไรก็จะปล่อยให้ไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง ก็จะสอนให้ช่วยเหลือตัวเองให้ได้ อย่างคุณพ่อนี่ตอนอายุ 18 เขาหยุดให้เงินเลยนะ อย่างยุโรปนี่พอ 18 ปุ๊บ เขาให้ออกจากบ้านไปทำงานทำมาหากินเองเลยนะ ถ้าเราทำไม่ได้ก็ต้องพยายามทำให้ได้ นี่คือพ่อของเซฟค่ะ เขาเน้นให้ช่วยเหลือตัวเอง คือเราก็เริ่มทำงานถ่ายแบบตั้งแต่ 15-16 ปี ก็เหมือนเราก็ได้เรียนรู้เร็วกว่าคนอื่น เขาก็สอนให้เรารู้จักการเก็บเงิน อย่าไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย คุณแม่นี่ก็จะไทยหน่อย เน้นเรื่องมารยาท การดูแลตัวเอง อย่างมีแฟนคุณพ่อก็บอกว่ามีได้ แต่อย่าทิ้งการเรียน เขาสำคัญแค่เรื่องอย่าทิ้งการเรียน อย่าเกเรไปทำอะไรที่ไม่ดี ผิดกฎหมาย แฟนเซฟคุณพ่อคุณแม่ก็รู้จักเคยเจอกันแล้ว ไม่มีอะไรที่ปิดบังครอบครัวก็เข้ากันได้ดี ถ้าพ่อแม่ไม่ไฟเขียวคงลำบาก แต่อันนี้เลยแบบชิล ไม่เครียด เราถูกเลี้ยงมาแบบผสมผสาน มีความไทยอยู่ในตัว ไม่ได้สติ๊กว่าคุณแม่ต้องไปด้วยทุกที่ แต่เราก็จะบอกว่าเราไปดูหนังไปกินข้าว ก็จะให้รู้ไว้เพื่อความสบายใจของคุณแม่และคุณพ่อ”
อยากฝากอะไรถึงแฟน ๆ ที่ติดตามอยู่?
“ฝาก เรื่องทะเลไฟแล้วกันค่ะ อยากให้ดู มันเป็นซีรีส์เรื่องแรกของช่อง 7 ด้วย มันเป็นเรื่องที่สนุกมาก ๆ เป็นบทที่ท้าทายมากเหมือนกัน นักแสดงและทีมงานทุกคนเต็มที่มากเรื่องนี้ แล้วบอกเลยว่าแต่ละฉากนี้สวยมาก ๆ เพราะเราไปทะเลมาเกือบทั่วประเทศเลย เซฟก็เจอผู้กำกับคนเดิมคือ พี่หนึ่ง-ชัชวาล ที่กำกับ “กุหลาบเล่นไฟ” เรื่องแรกที่เซฟเปลี่ยนลุคซึ่งพี่เขาจะไม่ปล่อยถ้าเราเล่นยังไม่ดี ก็จะถ่ายจนกว่าจะได้ เรื่องอารมณ์ทุกฉากทุกซีนนี่ถูกสกรีนมาเรียบร้อย อยากให้ทุกคนได้ดูมันสนุกแน่ ๆ มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องความรักอย่างเดียว มีทั้งบู๊ทั้งเลิฟ มันครบรสค่ะ”
บรรยากาศตอนถ่ายทำ “ทะเลไฟ” เป็นยังไงบ้าง?
“ฟัง จากชื่อ “ทะเลไฟ” ต้องมีทะเลแน่นอนค่ะ มีถ่ายที่ต่างประเทศช่วงต้นเรื่องด้วย ซึ่งไปถ่ายพร้อมกับเรื่อง “ไฟรักเกมร้อน” ยากเหมือนกันนะคะ เพราะมันถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่ พอกลับมาเมืองไทยก็ถ่ายกันต่อได้หลายที่เป็นทะเลหมดเลย ร้อนมาก แต่ทุกคนก็สู้เต็มที่ค่ะ พอเราเห็นภาพในจอมันสวยมากเลย บทบาทในเรื่องนี้ก็แรงไปอีกแบบ เรื่องมันต่อมาจาก “ไฟรักเกมร้อน” ผู้ชมจะเห็นว่าตัวละครพั้นช์เป็นคนที่อารมณ์ร้อน เอาแต่ใจ และไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่นเลย ทะเลไฟมันต่อเนื่องกันมา มันยังมีความสู้คนอยู่ แต่จะไม่ใช้อารมณ์ที่แรงขนาดนั้นแล้ว จะใช้คำพูดฉลาด ๆ ไปว่าคนอื่นมากกว่า ไม่กรี๊ดกร๊าดโวยวายเสียงดังแล้ว ถือว่ายากขึ้นนะคะ เพราะเราต้องคงคาแรกเตอร์ตัวเดิมไว้แต่ปรับให้โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เรื่องนี้ต้องปะทะกับแม่ของพระเอกเยอะมาก เราจะถูกกระทำเยอะมาก”
ฉากเลิฟซีนก็ร้อนแรงไม่แพ้ “ไฟรักเกมร้อน” นะ?
“จะ แตกต่างนิดนึงค่ะ ตรงที่พศิกาหรือพั้นช์จะไม่ยอมเตชิน แต่จะโดนบังคับมากกว่า ช่วงแรกตอนเจอกันที่สเปน ทั้งคู่แอบชอบกันนะ แต่พศิกาเคยผิดหวังในความรักมาก่อน เลยเข็ดกับความรักและยังไม่ยอมเปิดใจในรักครั้งใหม่ พอกลับมาเจอเตชินที่เมืองไทย ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป เพราะแม่เขาคิดว่าเราเป็นเมียน้อยของพ่อเขา เขาเลยเกลียดเรา พยายามทำร้ายความรู้สึกของเรา มาบังคับ มาจูบเรา เรื่องนี้ตบจูบเยอะเลยค่ะ โยนเราลงน้ำก็มีอย่างที่เห็นในภาพตัวอย่าง โหดร้ายมากค่ะ บทเลิฟซีนตอนอ่านบทก็โอเคนะคะ เพราะมีแค่นิดเดียว แต่ทำไมตอนถ่าย เอ๊ะ อีกแล้วเหรอเนี่ย (หัวเราะ) แต่มันก็เป็นสไตล์ไทย ๆ แค่จูบแตะนิดหน่อยค่ะ ซึ่งเราก็เคยเล่นในเรื่องอื่นมาก่อนแล้ว ก็โอเค แต่เรื่องนี้อารมณ์ของพระเอกจะไม่เหมือนเรื่องอื่น เรื่องอื่นเรายอมที่จะจูบเพราะเรารักกันจริง ๆ แต่เรื่องนี้เราเกลียดเขามาก มันเป็นอีกความรู้สึกหนึ่ง ด้วยความที่เราทั้งคู่สนิทกันแล้ว ก็เลยไม่เกร็ง แล้วมันก็ไม่ใช่สไตล์ฝรั่งที่จะสมจริงยิ่งกว่านี้ 10 เท่า แบบนั้นเราคงเล่นไม่ได้แน่ แต่แบบนี้เราเห็นในละครเกือบทุกเรื่องอยู่แล้วค่ะ เรื่องนี้ถือว่าบทหนักมากค่ะ”
มีพัฒนาการจะต้องได้รับบทที่แรงขึ้นเรื่อย ๆ?
“อาจ จะมั้งคะ ในช่วงแรกการแสดงของเรายังไม่เก่งเท่าไร ก็เลยยังได้รับบทที่ไม่ค่อยท้าทาย แต่ท้าทายสำหรับเราตอนนั้นนะคะ พอเรามีพัฒนาการด้านการแสดงมากขึ้น บทก็ยากและท้าทายขึ้นเรื่อย ๆ ให้เราได้โชว์อะไรใหม่ ๆ มันดีสำหรับนักแสดง เพราะจะได้เรียนรู้วิธีการแสดงหลาย ๆ แบบค่ะ เซฟคิดว่าทุกงานมันมีการพัฒนาไปเรื่อย ๆ ได้ มันไม่มีลิมิตของการเรียนรู้ เหมือนการเรียนเปียโน เราก็เรียนไปเรื่อย ๆ เราเพิ่มเพลงยากขึ้นมาเล่นได้”
เห็นว่าเรียนหนักด้วยจัดสรรเวลาอย่างไร?
“เหมือน เดิมตั้งแต่ปี 1 เลย เราพยายามลงทะเบียนเรียนวิชาในตอนเช้า เพราะหลังเที่ยงเราสามารถไปถ่ายละครได้ถึงสี่ทุ่มเลย แต่บางครั้งเวลาเรียนมันบังคับจริง ๆ เช่น เรียน 4 โมงถึง 6 โมง เราก็จะให้คิวละครช่วงเช้าถึงบ่าย 2 แล้วก็เผื่อเวลาขับรถไปมหาวิทยาลัยอีก 2 ชั่วโมง ก็โอเคนะคะ หลายคนคิดว่าทำไม่ได้ แต่จริง ๆ แล้วทุกอาทิตย์เราทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ก็เก็บได้หลายซีนเลย เพียงแต่เราอาจจะไม่ได้มาเช้าเหมือนคนอื่น บางเทอมเราไม่ได้ลงเรียนทุกวัน ก็จะมีวันว่างเต็มวัน 1-2 วัน ให้ทางละครเลยค่ะ”
เรียนสายวิทยาศาสตร์ มันก็น่าจะยากอยู่นะ?
“ยาก ค่ะ เซฟเรียนไบโอเมดิคอลซายน์ ภาษาไทยเรียกว่าชีวการแพทย์ เกี่ยวกับพวกเซลล์ในร่างกาย การตรวจเลือด ส่องกล้องดูพยาธิ เน้นพวกแล็บ การเพาะเชื้อ ด้านเคมีและยา บางวิชาขาดไม่ได้เลย เราขาดแล็บก็ตามเพื่อนไม่ทันแล้ว มันมีการเพาะเชื้อซึ่งถ้าเราไม่ได้เข้าไปทำ อาทิตย์ต่อมามันก็ตามเขาไม่ทันแน่ ๆ ดังนั้นเทอมที่มีวิชาที่ขาดไม่ได้ก็จะรีบแจ้งทางกองถ่ายค่ะว่าเราขาดไม่ได้ จริง ๆ นะ แต่ถ้าวันไหนรู้ล่วงหน้าว่ามีงดเรียน เราจะรีบบอกทางกองเพื่อให้เขาได้แพลนคิวถูก แต่บางอาทิตย์เราก็ว่างนะ ก็อยู่บ้านหรือนัดกับเพื่อนไปผ่อนคลายบ้าง ถ้าช่วงสอบอันนี้หนักเลยค่ะ แต่เราใช้วิธีตั้งใจเรียนในห้องเลย พยายามจำให้ได้ อันไหนที่ติดจริง ๆ ก็จดเอาไว้ก่อน แล้วค่อยไปอ่านเพิ่มเติม ขอทางกองด้วยว่าช่วงสอบขอไม่ดึกได้ไหม ซึ่งเขาก็เข้าใจเรา สอบเสร็จค่อยไปอัดต่อ เราก็จะมีเวลา 1 วันก่อนสอบแต่ละวิชา มันทำจนชินแล้วค่ะ เกรดคงไม่ดีเท่าไร แต่ถ้าสอบผ่าน เซฟก็แฮปปี้แล้วล่ะ เพราะเราไม่มีเวลาอ่านทบทวนมากเหมือนคนอื่น แต่ก็ดีขึ้นจากช่วงแรกที่เริ่มเล่นละครนะ คุณพ่อคุณแม่บอกว่าเรียนให้จบก็พอนะลูก ไม่ต้องเอาเกรดเฉลี่ย 4.00 หรอก เราไม่ได้เกิดมาเป็นเด็กอัจฉริยะ เซฟรู้ตัวเองว่าไม่ใช่เด็กฉลาด แต่เป็นเด็กขยัน วันไหนเราได้เบรกดาวน์ของละครมาว่าวันนี้จะถ่ายกี่ซีน ซึ่งถ้าวันไหนถ่ายน้อย เราจะเอางานที่เรียนไปทำที่กองด้วยค่ะ”
ทำไมเลือกเรียนด้านนี้?
“ตอน เรียน ม.5 ต้องเริ่มดู ๆ แล้วค่ะว่าจะเรียนต่อด้านไหน เราเรียนสายวิทย์ แต่ฟิสิกส์ไม่ค่อยเก่ง มันยากไป ชีววิทยาสิเป็นอะไรที่เราชอบมากกว่า มันทำให้เราเป็นหมอเฉพาะทางด้านใดด้านหนึ่งได้ เซฟอยากช่วยเหลือคน เลยเลือกเรียนด้านนี้ ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าจะได้เป็นนักแสดง เซฟได้ตำแหน่งมิสทีนไทยแลนด์ช่วงก่อนเข้ามหาวิทยาลัย แต่ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นนักแสดง พอปี 1 เราก็ได้เล่นละครเลย คือเราก็เรียนไปแล้วเทอมนึงเสียดาย ตอนนี้ก็ 4 ปีแล้วที่ได้เป็นนักแสดง คิดว่าเราทำได้ทั้ง 2 อย่างนะ มันอยู่ที่ตัวเราว่าจะจัดสรรเวลาได้ดีแค่ไหน อาจจะต้องงดกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยไปบ้าง ถ้าเราได้ทำงานมันก็เพิ่มเติมความรู้ใหม่ ๆ ให้เราเช่นกัน เลยเลือกที่จะทำงานแสดงไปด้วยค่ะ”
รู้สึกเหนื่อยบ้างหรือเปล่า?
“ตอน นี้ชินแล้วค่ะ แต่ช่วงแรกบอกเลยว่าเหนื่อยมาก ตั้งแต่ตอนขับรถ คุณแม่จะเป็นคนขับ เซฟคอยดูจีพีเอส ยังไม่ค่อยชินทางที่กรุงเทพฯ เพราะเพิ่งย้ายมาจากพัทยา คือหลงทางบ่อยมาก แล้วก็ยังไม่ชินกับการที่เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย พอหลังจากนั้นก็เริ่มชินแล้ว คุ้นเคยกับเส้นทางมากขึ้น จนทุกวันนี้ถ้าไม่ได้ทำงาน 2-3 วันติดกันมันจะรู้สึกแปลก ๆ ค่ะ ชีวิตมันคงน่าเบื่อไม่มีอะไรทำ จริง ๆ แล้วเซฟไม่ได้ต้องการอะไรมากมายในชีวิต ขอแค่มีเวลาอยู่กับเพื่อนบ้าง ไม่ต้องเจอทุกวันหรอก อาทิตย์หนึ่งเจอกันแค่ครั้งสองครั้งก็แฮปปี้แล้ว เซฟชอบออกกำลังกาย ชอบเข้าฟิตเนส มันทำให้เราระบายความเครียดได้ดี อาจจะเหนื่อยกายเพิ่ม แต่มันเป็นสีสันดีนะ จะพยายามหาเวลาเข้าฟิตเนสทุกวันเลย อย่างน้อยแค่วันละ 1 ชั่วโมง ก็ทำให้แฮปปี้มีพลังที่จะสู้ในวันต่อไปได้แล้วค่ะ”
มีเป้าหมายในวงการบันเทิงอย่างไร?
“ไม่กล้ามีเป้าหมายอะไรในวงการบันเทิงเลย เพราะว่ามันไม่แน่นอน ขึ้นลงตลอด แต่เราก็ทำไปเรื่อย ๆ ค่อย ๆ ดูไปว่ามันจะอะไรยังไง คือเราก็มีทางด้านการเรียนนี้ที่จะเป็นแบ๊กอัพของเราได้ ตอนนี้เราก็ยังเรียนไม่จบด้วย เราก็เลยไม่รู้ว่าถ้าเราเรียนจบจะมีงานอะไรให้เราทำหรือเปล่า เซฟยังไม่แน่ใจเลยว่าจะไปเรียนต่อที่ไหนยังไง เพราะจริง ๆ ก็อยากเรียนต่อปริญญาโท แต่ตอนนี้เราก็ยังมีเวลาที่จะดูมหาวิทยาลัยก่อน ดูทางบ้านด้วย ยังไม่ได้มีการตัดสินใจอะไร ตอนนี้มีละครมาก็รับไป”
ตอนที่เลือกเรียนทางด้านนี้ก็ต้องมีเป้าหมายว่าอยากไปเป็นอะไร?
“มี ค่ะ แต่ยังไม่ได้เน้นว่าจะทำงานอะไร คืออยากช่วยเหลือคน อันนี้คือเป้าหมาย เซฟชอบเกี่ยวกับเรื่องภูมิคุ้มกัน เรื่องเกี่ยวกับเอชไอวี เอดส์ คือสนใจตั้งแต่เด็ก มันเป็นโรคที่ยังไม่มียารักษาให้หายได้ แล้วรู้สึกว่าที่ประเทศเรายังไม่ได้มีการเผยแพร่เรื่องนี้เยอะ คนยังไม่ยอมรับ เซฟอยากช่วยเหลือทางด้านนี้ อาจจะเป็นการให้ความรู้เพิ่มเติมสำหรับคนที่ไม่รู้ คือมันมีหลายทางมากที่จะช่วยเหลือคนได้ เราอยากเรียนรู้เกี่ยวกับพวกเม็ดเลือดขาว ภูมิคุ้มกัน ก็จะมีวิจัยโน่นนี่ อาจจะช่วยคนที่เป็นโรคอื่นได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นโรคนี้ก็ได้ ก็เป็นหมอเฉพาะทางได้ค่ะ เราไม่ได้เป็นแพทย์แบบผ่าตัดอะไรอย่างนั้น คือเซฟเรียนสายอินเตอร์มันก็เลยไม่เหมือนกันกับเรียนแพทย์ ของเซฟจะต้องไปต่อปริญญาโทก่อน แล้วก็อาจจะมีพวกเทรนนิ่งตามโรงพยาบาล และเราก็เลือกสายอีกทีแล้วเราก็จะได้ PH.D ได้ดอกเตอร์ ก็จะพยายามไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้เหมือนกัน แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะใช้เวลากี่ปี แล้วก็ต้องใช้เงินเยอะอยู่เหมือนกัน ก็ต้องดูอีกทีว่าจะยังไง”
เรื่องหัวใจล่ะมีหนุ่ม ๆ ให้ชุ่มชื่นหัวใจบ้างเปล่า?
“มีค่ะ เราคบกันหลายปีแล้ว เขาอยู่เมืองนอก ปีหนึ่งเจอกัน 3 ครั้ง ปิดเทอมตรงกันเขาก็กลับมา เราก็จะมีเวลาเพิ่มขึ้น แต่ว่าเซฟก็ยังมีงานเหมือนเดิม วันไหนมีงานก็ไปทำงานปกติ เวลาที่เขากลับมาก็มาอยู่ประมาณ 1 เดือน หรือเต็มที่ก็ 3 อาทิตย์ เหมือนทำแบบนี้มาหลายปี มันก็เลยชิน ถ้าเขารับไม่ได้เราก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเราก็ต้องทำงานและเรียน แต่คือเขารับได้ก็เลยไม่มีปัญหาอะไร เคยบอกกับตัวเองนะว่าไม่มีทางที่จะมีแฟนหรือรักใครที่อยู่คนละประเทศ แต่ว่าความรู้สึกมันห้ามไม่ได้นะ ถ้ามันเจอใครที่โอเคกับเรา มันก็ทำให้เรารู้ว่ามันก็เวิร์กนะ แต่มันต้องช่วยกันทั้ง 2 คน สื่อสารกันทางสไกป์ โทรศัพท์ คือเทคโนโลยีมันช่วย สมัยนี้คนเล่นอินเทอร์เน็ตตลอด ตอนแรก ๆ เหมือนเขาจะไม่เข้าใจงานวงการบันเทิง เขาเรียนอินเตอร์มา ก็จะมีนิสัยเหมือนคนยุโรปมากกว่า เขาไม่มีความสนใจทางด้านงานวงการบันเทิง แต่พอมารู้จักเซฟนี่แหละ เขาก็เริ่มรู้จักวงการ รู้จักดาราคนนั้นคนนี้ เริ่มเข้าใจ และเขาก็เริ่มโตขึ้น ในอนาคตถ้าเขาต้องทำงาน เขาก็จะเรียนรู้ว่าเขาก็ไม่มีเวลาพวกนี้เหมือนกัน”
คบกันมานานเท่าไหร่แล้ว?
“5 ปีแล้วค่ะ ยังไม่คิดถึงอนาคตก็คบกันไปเรื่อย ๆ ถ้าวันไหนมันจะต้องหยุดจริง ๆ ไม่มีเวลา มันก็ต้องหยุด ไม่อยากคิดถึงตอนนั้น ตอนนี้ก็คบกันไปเป็นกำลังใจให้กันแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว เรายังไม่ได้คิดอะไรในอนาคต ยังไม่ได้โตขนาดนั้นด้วย”
สิ่งที่ทำให้เราคบกันได้นานขนาดนี้คืออะไร?
“ต้อง ไว้ใจกันแล้วก็ดีทั้งสองฝ่ายนะ ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเจ้าชู้นี่ไม่ได้ จบเลย ต้องคุยกันให้มาก ๆ ไม่มีความลับต่อกัน มีอะไรก็บอกกันตรง ๆ ว่ารู้สึกอย่างไร มันต้องทั้งสองคน ไม่ใช่ใครฝ่ายเดียว เหมือนทำงานร่วมกัน เขาก็เรียนจะจบแล้วอีกไม่กี่เดือน แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะต่ออะไรไหม เขาเรียนทางด้านบริหารธุรกิจ อีกอย่างนะถ้าเจอกันบ่อยมาก อาจจะน่าเบื่อก็ได้ คือเราเริ่มกันมาแบบนี้ตั้งแต่แรก ถ้ามันมีระยะทาง เวลาที่เราไม่ได้เจอกันนาน ๆ พอเจอกันอีกทีก็จะรู้สึกดีว่า เออ ไม่ได้เจอกันนานนะ ก็มีเพื่อนมาปรึกษาเหมือนกันว่าเธอทำได้ยังไง เราก็ให้คำปรึกษาไป แต่สุดท้ายเพื่อนก็ทำไม่ได้ อาจจะเป็นสไตล์ใครสไตล์มันมากกว่า
ถือว่าคนนี้ตรงสเปกไหม?
“ตรง นะ เขาชอบออกกำลังกาย เพราะเราก็ชอบออกกำลังกายมาก เซฟเลยชอบผู้ชายที่ออกกำลังกาย ชอบดูแลตัวเอง และเขาเป็นคนที่เนี้ยบมาก เป็นคนที่ไว้ใจได้ ไม่ใช้อารมณ์ และเซฟก็ไม่ชอบผู้ชายขี้หึง จุกจิกจู้จี้ ถามแบบตลอดว่าอยู่ไหน ต่อให้เขาอยู่ต่างประเทศแล้วมาถามบ่อย ๆ ก็ไม่ไหวนะ ต้องให้เวลาเราชิลบ้างสิ อย่างเวลาไปกับเพื่อนผู้ชาย เขาก็รู้ว่าแค่เป็นเพื่อน สบายเรา ไม่ต้องไปกังวล”
พ่อแม่เลี้ยงสไตล์ไทยหรือสไตล์ฝรั่งนี่?
“ทั้ง สองแบบเลยค่ะ คุณพ่อจะปล่อย ลูกอยากไปไหนก็ให้เขาไปก็จะบอกแม่ แต่เขาก็จะบอกว่าห้ามสูบบุหรี่ ห้ามทำอะไรที่มันไม่ดี เขาก็จะสอนหมด ไปเที่ยวหรืออะไรก็จะปล่อยให้ไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง ก็จะสอนให้ช่วยเหลือตัวเองให้ได้ อย่างคุณพ่อนี่ตอนอายุ 18 เขาหยุดให้เงินเลยนะ อย่างยุโรปนี่พอ 18 ปุ๊บ เขาให้ออกจากบ้านไปทำงานทำมาหากินเองเลยนะ ถ้าเราทำไม่ได้ก็ต้องพยายามทำให้ได้ นี่คือพ่อของเซฟค่ะ เขาเน้นให้ช่วยเหลือตัวเอง คือเราก็เริ่มทำงานถ่ายแบบตั้งแต่ 15-16 ปี ก็เหมือนเราก็ได้เรียนรู้เร็วกว่าคนอื่น เขาก็สอนให้เรารู้จักการเก็บเงิน อย่าไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย คุณแม่นี่ก็จะไทยหน่อย เน้นเรื่องมารยาท การดูแลตัวเอง อย่างมีแฟนคุณพ่อก็บอกว่ามีได้ แต่อย่าทิ้งการเรียน เขาสำคัญแค่เรื่องอย่าทิ้งการเรียน อย่าเกเรไปทำอะไรที่ไม่ดี ผิดกฎหมาย แฟนเซฟคุณพ่อคุณแม่ก็รู้จักเคยเจอกันแล้ว ไม่มีอะไรที่ปิดบังครอบครัวก็เข้ากันได้ดี ถ้าพ่อแม่ไม่ไฟเขียวคงลำบาก แต่อันนี้เลยแบบชิล ไม่เครียด เราถูกเลี้ยงมาแบบผสมผสาน มีความไทยอยู่ในตัว ไม่ได้สติ๊กว่าคุณแม่ต้องไปด้วยทุกที่ แต่เราก็จะบอกว่าเราไปดูหนังไปกินข้าว ก็จะให้รู้ไว้เพื่อความสบายใจของคุณแม่และคุณพ่อ”
อยากฝากอะไรถึงแฟน ๆ ที่ติดตามอยู่?
“ฝาก เรื่องทะเลไฟแล้วกันค่ะ อยากให้ดู มันเป็นซีรีส์เรื่องแรกของช่อง 7 ด้วย มันเป็นเรื่องที่สนุกมาก ๆ เป็นบทที่ท้าทายมากเหมือนกัน นักแสดงและทีมงานทุกคนเต็มที่มากเรื่องนี้ แล้วบอกเลยว่าแต่ละฉากนี้สวยมาก ๆ เพราะเราไปทะเลมาเกือบทั่วประเทศเลย เซฟก็เจอผู้กำกับคนเดิมคือ พี่หนึ่ง-ชัชวาล ที่กำกับ “กุหลาบเล่นไฟ” เรื่องแรกที่เซฟเปลี่ยนลุคซึ่งพี่เขาจะไม่ปล่อยถ้าเราเล่นยังไม่ดี ก็จะถ่ายจนกว่าจะได้ เรื่องอารมณ์ทุกฉากทุกซีนนี่ถูกสกรีนมาเรียบร้อย อยากให้ทุกคนได้ดูมันสนุกแน่ ๆ มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องความรักอย่างเดียว มีทั้งบู๊ทั้งเลิฟ มันครบรสค่ะ”